เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๔ มี.ค. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เรามาวัดมาวา มาวัดมาวาเพื่อสัจธรรม เพื่อสัจจะในหัวใจของเราไง เราอยู่กับโลกนะ เขาเรียกสมมุติบัญญัติ สมมุติโลก โลกนี้โลกสมมุติ ถ้าสมมุติที่คนแย่งชิงกัน สิ่งนั้นจะมีราคา ถ้าสมมุตินั้นมีมากเกินไป สมมุตินั้นไม่มีราคา สมมุติ เห็นไหม สมมุติก็ยังมีราคาและไม่มีราคา

แต่ถ้าเป็นบัญญัติ บัญญัติคือบัญญัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมๆ นะ ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ตรัสรู้ธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสวยวิมุตติสุขๆ สุขอันนั้น สุขเลอเลิศอันนั้น สุขในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ถ้าสุขในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ๆ ถ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ สัตว์ในโลกนี้อยู่กับสมมุติบัญญัติๆ ถ้าสมมุติบัญญัติ สมมุตินี่สมมุติโลก ถ้าบัญญัติ บัญญัติธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าบัญญัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างเช่นเรา เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่บัญญัติ นี่อริยสัจสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจธรรมความจริงอันนั้นอยู่ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ บัญญัติไว้เป็นทฤษฎี ถ้าบัญญัติไว้เป็นทฤษฎี เราศึกษาของเราๆ ศึกษาของเราเพื่อสัจจะเพื่อความจริง เพื่อความเข้าใจของเรา เพื่อความเข้าใจของเราไง มันก็เป็นสมมุติของเรา

ฉะนั้น สัจจะมันเป็นบัญญัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นสมมุติของเราๆ เพราะมันยังไม่เป็นความจริงของเราไง ถ้าเป็นความจริงของเรา มาวัดมาวามาตอกย้ำๆ ตอกย้ำสิ่งที่เราศึกษามาๆ

ถ้ามันยังมีความลังเลสงสัย สิ่งที่มันมีความข้องใจของเรา ถ้าสิ่งที่สัจธรรมๆ มันทำให้จิตใจเราผ่องแผ้วไง แต่ถ้าผ่องแผ้วแล้วมันก็สัจธรรมจากการฟังธรรมไง แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ มันต้องประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมา อาหาร ถ้าเราไม่ได้ทานอาหารนั้น อาหารนั้นจะไม่เข้าไปในกระเพาะของเรา นี่ก็เหมือนกัน มันอยู่ข้างนอกๆ ไง

ทีนี้เวลาอยู่ข้างนอก สมมุติๆ สมมุติว่าข้างนอก ข้างนอกข้างใน ข้างในขึ้นมาก็คิดว่าภายในเราเป็นภายใน ข้างนอกข้างในก็เป็นสมมุติ แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ถ้าเป็นข้างใน ข้างในมันในไหนล่ะ มันในหัวใจไง ถ้าในหัวใจ ถ้าข้างนอก ข้างนอกก็ความคิดเรานี่ สิ่งที่เป็นความคิด ความคิดมันเกิดมาจากไหน มันเกิดมาจากจิต ถ้าเกิดมาจากจิตนะ เวลาทางวิทยาศาสตร์เกิดจากสมอง ถ้าเกิดจากสมอง สมองมันอยู่ในหัวไหม มันเป็นข้างในไหม มันก็เป็นข้างใน แต่ถ้าเป็นสัจธรรมๆ ส่งออกหมด

สิ่งที่ส่งออก ส่งออกมาจากจิต ถ้าส่งออกมาจากจิต เวลาทำความสงบของใจเข้ามา ถ้ามันเข้าสู่ฐีติจิตๆ จิตเดิมแท้ๆ นั่นแหละตัวจิต ถ้าตัวจิตถ้ามันเกิดปัญญา ปัญญาจากภายใน ปัญญาจากภายในทวนกระแสเข้าไป มันเกิดจากภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้น มันจะข้างนอกข้างในมาจากไหน

ถ้ามันข้างนอกข้างใน ข้างนอกข้างในจากผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ข้างนอกข้างในจากครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติตามความจริงอันนั้น ข้างนอกข้างในจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่โคนต้นโพธิ์ๆ นั่นน่ะ เวลาไม้มงคลๆ ต้นโพธิ์เป็นไม้ประจำพระพุทธศาสนา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ที่นั่น ตรัสรู้โคนต้นโพธิ์ๆ ไง แต่โคนต้นโพธิ์มันก็เป็นต้นโพธิ์ ร่างกายนี่ร่างกายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นหนึ่งไปนั่งอยู่โคนต้นโพธิ์นั้น แต่ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปฝึกหัดมากับเจ้าลัทธิต่างๆ ๖ ปี ทรมานตนมาขนาดไหน ทรมานตนมาขนาดไหนมันก็เป็นข้างนอกทั้งนั้นน่ะ

เวลามันจะเป็นข้างใน เป็นข้างในจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุพเพนิวาสานุสติญาณ การระลึกชาติได้ ระลึกชาติในหัวใจนั้น เพราะในหัวใจนั้นคนอื่นระลึกชาติได้ก็เป็นเรื่องของเขา ถ้าเราระลึกชาติได้ก็เป็นชาติของเรา ชาติของเราเพราะอะไร เพราะใจของเรา ใจของเรามันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ใจของเราเป็นผู้ที่พันธุกรรมของมันที่มันฝังมาในใจนั้น ถ้าใจนั้น เวลาตรวจสอบในใจนั้น ในใจนั้นตั้งแต่พระเวสสันดรไป นี่ไง ถ้าในใจๆ จากภายใน

บุพเพนิวาสานุสติญาณในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันยังเป็นภายนอกอยู่ เวลาจุตูปปาตญาณ ตายแล้วไปเกิดที่ไหน คนที่สิ้นชีวิตแล้วไปเกิดที่ไหน สัตว์ในโลกนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะอย่างไร เป็นผลของวัฏฏะมันก็เป็นข้างนอกอยู่ ถ้าเป็นข้างใน อาสวักขยญาณในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นน่ะเป็นข้างใน

ถ้าในใจๆ ในใจเพราะอะไร ในใจเพราะมันเกิดจากการภาวนา เกิดจากฐีติจิต เกิดจากการกระทำไง ที่เรามาศึกษาๆ เรามาวัดมาวาเพื่อสัจธรรมๆ สัจธรรมก็สัจธรรมในชีวิตนะ ชีวิตนี้เป็นความจริง จริงตามสมมุติ จริงตามความเป็นจริง มันจริงจริงๆ ถ้าสมมุติมันก็จริง มันจริงตามสมมุติเพราะอะไร เพราะมันไม่คงที่ไง มันไม่ใช่สัจจะแท้ไง

ถ้าสัจจะแท้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนใจของเราอีกไม่ได้เลย”

แล้วใจของเราๆ เจ้าจะเกิดบนใจของเราไม่ได้เลย ใจของเราบริสุทธิ์ผุดผ่อง ใจของเราๆ เห็นไหม นี่ไง สิ่งที่เวลาเป็นความสุขๆ ความสุขที่มันเป็นสัจจะเป็นความจริงมันเป็นความจริงอย่างนั้น มันคงที่ มันเป็นอกุปปธรรมที่ไม่มีการแปรสภาพ ไม่มีการใดๆ ทั้งสิ้น

แล้วใจของคนไม่แปรสภาพไหม อารมณ์ความรู้สึกของเราเดี๋ยวทุกข์เดี๋ยวยากนี่แปรสภาพไหม คนที่ทำสมาธิได้ สมาธิเดี๋ยวก็เสื่อม จิตผ่องใสๆ เดี๋ยวมันก็เศร้าหมอง มันแปรสภาพทั้งนั้นน่ะ มันไม่มีใครคงที่หรอก ถ้าไม่มีใครคงที่ สิ่งที่คงที่มันมาจากไหนล่ะ สิ่งที่คงที่มาจากการขวนขวาย มาจากการกระทำของเราไง

ถ้ามันทำจากภายในๆ ฟังธรรมๆ ฟังธรรมขึ้นมาเพื่อตอกย้ำ ชีวิตนี้เป็นความจริง มีความจริงแล้วเราต้องใช้ชีวิตของเราโดยสัจจะโดยข้อเท็จจริงของเรา นี่คือการกระทำ มนุษย์ก็ต้องมีหน้าที่การงานทั้งนั้นน่ะ เราทำหน้าที่การงานของเราขึ้นมา เพราะอะไร เพราะถ้ามีสติมีปัญญาทำหน้าที่การงาน หน้าที่การงานนี้เพื่องานของความเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์เพื่อหาปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อความมั่นคงของชีวิต ถ้าความมั่นคงของชีวิต แล้วชีวิตคืออะไรล่ะ

ชีวิตที่เร่ร่อนใช่ไหม ชีวิตที่อยู่กับโลกนี้ใช่ไหม ถ้าชีวิต คนเห็นในวัฏสงสารไง ผู้ที่บอกว่าผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จ ทำอะไรล้มเหลวแล้วมาบวชเป็นพระๆ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้เป็นกษัตริย์ ทิ้งสิ่งนั้นไปๆ ทิ้งสิ่งนั้นไปเพราะอยู่นั่นมันเป็นสิ่งผูกมัด มันเป็นสิ่งตราตรึงที่เราต้องรับผิดชอบ ถ้าทิ้งมาๆ ทิ้งมามันก็เร่ร่อน ทิ้งมาถ้ามันยังไม่มีการกระทำนะ ทิ้ง ๖ ปี แสวงหาอยู่นั่นก็ยังไม่มีสิ่งใดเป็นสมบัติแท้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานี่สมบัติแท้ สมบัติแท้สมบัติจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามันเป็นจริงๆ ขึ้นมาไง แล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้รื้อสัตว์ขนสัตว์พวกเรา รื้อสัตว์ขนสัตว์ในหัวใจของเรา ถ้ารื้อสัตว์ในหัวใจของเรา รื้อสัตว์ขนสัตว์

สิ่งที่ไม่ต้องรื้อแล้ว พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์มาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวันมาฆบูชา นั่นไม่ต้องรื้อแล้ว นั่นเขาประสบความสำเร็จของเขาแล้ว แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ที่ขี้ทุกข์ขี้ยาก รื้อสัตว์ขนสัตว์ที่ยังมืดบอด ถ้ามืดบอด รื้อสัตว์ขนสัตว์พวกนั้น

แต่พวกที่เขาเปิดหูเปิดตาของเขาแล้ว ไม่ต้องไปรื้อไปถอนเขา เขาสว่างโพลงในใจของเขา ถ้าหัวใจของเขาสว่างโพลงแล้วต้องไปรื้อไปถอนที่ไหน เพราะสว่างโพลงในใจอันนั้นเป็นความจริงอันนั้น

แต่พวกมืดบอดๆ ความมืดบอด นี่ประเพณีวัฒนธรรม เราเป็นชาวพุทธนะ เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดลัทธิศาสนาอื่นเขาก็เชื่อของเขาไปตามนั้น นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนามีประเพณีวัฒนธรรม ถ้าประเพณีวัฒนธรรม วัฒนธรรมของเรา วัฒนธรรมของชาวพุทธไง เรามาวัดมาวากัน มาวัดมาวาด้วยวัฒนธรรมของชาวพุทธ เรามาวัดหัวใจของเรา มาวัดมาวา เขามาวัดมาวาด้วยความสนุกครึกครื้นของเขา เขามาวัดมาวาเพื่อความรื่นเริงของเขา

แต่เรามาวัดมาวามาวัดหัวใจของเราไง ถ้าหัวใจของเรารื่นเริงอาจหาญเราก็มีความสุขไง ถ้าหัวใจเรามันเศร้าหมอง เวลามันเศร้าหมอง มันมีความทุกข์ความยาก มาวัดมาวามาวัดที่นี่ไง วัดปฏิบัติๆ เขาวัดกันที่หัวใจไง สิ่งของภายนอกมันเป็นเครื่องประกอบ

คำว่า “เครื่องประกอบ” นี่ไง ศาสนวัตถุ ศาสนพิธี ศาสนบุคคล ศาสนธรรม เราต้องการธรรมๆ อันนี้ไง ถ้าศาสนธรรม ไปวัดไปวาที่มีข้อวัตรปฏิบัติ ผู้ที่ไม่วัดร้าง ผู้ที่อยู่ในวัดนั้นก็ไม่ใช่คนเปล่า ไม่ใช่คนร้าง คนไม่มีวัฒนธรรม ถ้าเป็นวัฒนธรรมก็เป็นวัฒนธรรมประเพณีของพระอริยเจ้า ถ้าเขาทำข้อวัตรปฏิบัติของเขา นั่นมันเป็นข้อวัตรปฏิบัติ แล้วถ้าเขามีวัฒนธรรมในใจของเขา เรามาวัดมาวากันเราก็มาวัดหัวใจของเรา ถ้าวัดหัวใจของเรา ตรงนี้มันจะเป็นประโยชน์กับการประพฤติปฏิบัติไง

ว่าเป็นชาวพุทธๆ ไปวัดไปวาก็ไปวัดหัวใจของเรา หัวใจของเรามันเศร้าหมองไหม หัวใจเรามันรื่นเริงอาจหาญไหม ถ้ามันรื่นเริงอาจหาญ ธรรมโอสถๆ ร่างกายนี้ต้องการอาหาร ต้องการสิ่งใดเพื่อดำรงชีพ

จิตใจของคนๆ ถ้ามันมีคุณธรรมขึ้นมานะ มันรื่นเริงอาจหาญ มันมีสว่างไสวกลางหัวใจ สว่างไสวที่ไหน สว่างไสวด้วยปัญญา เวลาปัญญา เวลาเราลังเลสงสัยสิ่งใด สิ่งนี้มันทำให้หวาดระแวงไปทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้ามันมีสติมีปัญญานะ มันมีอะไร มันมีอะไร มันไม่เห็นมีอะไรเลย หลอกตัวเองทั้งนั้น ถ้าหลอกตัวเองทั้งนั้น

สัจจะความจริงของเรา สัจจะความจริง สัจจะความจริงทางโลกมันต้องเป็นสัจจะทั้งนั้น โลกมันต้องหมุนไป เรื่องกาลเวลามันต้องหมุนไป ชีวิตของเราตั้งแต่เกิดมามันต้องหมุนไป มันหมุนไปโดยธรรมชาติของมัน มันเป็นข้อเท็จจริงของมัน มันเป็นสัจจะความจริงของมัน แต่ของเราไปรั้งไว้ ของเราเองเราต้องการให้สมความปรารถนาๆ เราเองต่างหากๆ มันมีอะไร มันก็เป็นความจริงทั้งนั้น ถ้าหัวใจเรามันมีปัญญาขึ้นมา ความจริงอย่างนั้น สัจจะความจริงอย่างนั้นมันเป็นข้อเท็จจริง มันเป็นวิทยาศาสตร์ มันเป็นอย่างนั้นน่ะ ถ้ามันเป็นอย่างนั้นปั๊บ มีสติปัญญารู้เท่าทันทั้งหมด แล้วมันมีอะไร มันไม่มีอะไรเลยไง ถ้ามันไม่มีอะไรเลย เราประคองชีวิตของเราไป

ชีวิตของเราไปนะ ชีวิตเกิดมาด้วยกรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน มันมีเวรมีกรรมถึงได้มาเกิด ถ้ามาเกิดแล้ว ถ้ายังมีเวรมีกรรมต่อไปมันก็หมุนของมันไป ที่เรามารื้อสัตว์ขนสัตว์ เราจะมาถอดมาถอนให้มันหมดสิ้นกันไป ถ้ามันหมดสิ้นกันไปแล้วใครจะหมุนไป เราไม่หมุนแล้ว เราเป็นแกนกลาง ใครจะหมุนก็หมุนไป เราไม่หมุนไปกับเขา แต่เราอยู่กับเขานะ แต่ไม่หมุนไปกับเขา ถ้าอยู่กับเขา ไม่หมุนไปกับเขา มันต้องมีเหตุมีผลสิ ถ้ามันไม่มีเหตุมีผลมันจะไม่หมุนไปได้อย่างไรล่ะ เขายังไม่ทันหมุนเลย วิ่งออกหน้าเขาไปแล้ว แล้วบอกว่าไม่หมุน ไม่หมุนอย่างไร ไปวิ่งออกหน้าเขานั่นน่ะ มันหมุนก่อนเขาอีก

แต่ถ้ามันไม่หมุนของมัน นี่ด้วยความสงบระงับไง อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้าเขามีความรู้เท่ารู้ทัน สิ่งที่รู้เท่ารู้ทันในใจของท่าน ถ้ารู้เท่าทันในใจของท่านนะ นี่แกนกลาง เวลาแกนกลาง เวลาภาวนา สิ่งนี้สำคัญมาก เวลาสำคัญมากขึ้นไป มันต้องไปรื้อไปถอนกันที่นั่น

สิ่งที่เวลาปฏิสนธิวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณ แต่ในปัจจุบันนี้เราเข้ากันไม่ถึงหรอก เราได้แต่สุขเวทนา ทุกขเวทนาเท่านั้น มันไม่เข้าปฏิสนธิอันนั้น ถ้าปฏิสนธิวิญญาณ เวลามันเข้าไปแล้วมันไปรู้ไปเห็นเข้ามันจะมหัศจรรย์ๆ มหัศจรรย์ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ

ทางวิทยาศาสตร์เขาส่งออก กางร่มมันบานออกไปทั้งนั้นน่ะ แต่ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหุบร่มเข้ามา หุบร่มเข้ามา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนสู่ใจของสัตว์โลก ใจของเทวดา อินทร์ พรหม ใจของมนุษย์ ใจของสัตว์โลกที่มีบุญมีกุศล ถ้ามีบุญกุศล ปัญญาอันละเอียดๆ ไง

ปัญญาทางโลกๆ ปัญญาอย่างนั้นเป็นวิชาชีพ ถ้าปัญญาอย่างละเอียด ปัญญาเกิดจากภาวนามยปัญญา ปัญญารู้เท่าทันในอริยสัจ ปัญญารู้เท่าทันในหัวใจของตน ปัญญามันหุบร่มเข้ามา หุบร่มเข้ามาในหัวใจอันนั้น ถ้าในหัวใจอันนั้น ธรรมทั้งหลายสอนเข้ามาอยู่ที่ใจอันนั้น เวลาใจอันนั้น ความมหัศจรรย์

เวลาอภิญญา ๖ เวลาเขาจะเหาะเหินเดินฟ้ามันไปจากไหน มันไปจากใจทั้งนั้นน่ะ ถ้าใจมันเข้ามาถึงสู่ใจดวงนั้น อภิญญา สมาบัติ มันเข้าถึงหัวใจแล้วมันเข้ามันออกด้วยการเข้าการออกอันนั้นให้เกิดกำลังขึ้นมา มันจะเหาะเหินเดินฟ้ามันก็เหาะเหินจากใจอันนั้น ถ้าใจอันนั้น อย่างนี้เขาเรียกส่งออก

คำว่า “โลกียปัญญาๆ อภิญญาๆ” มันเกิดจากพลังงานของจิตทั้งนั้นน่ะ แต่พลังงานของจิตมันเป็นพลังงานของจิต แต่มันยังไม่ใช่ปัญญา ถ้าเป็นปัญญาเข้าสู่สมาธิๆ ถ้าเป็นอภิญญาเข้าสมาบัติมันจะมีกำลังอย่างนั้น ถ้าเข้าสมาธิอยู่สุขสงบ สุขสงบในสัมมาสมาธิ เอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น จิตมีกำลัง จิตมีกำลังขึ้นมาแล้ว ถ้ามันฝึกหัดใช้ปัญญาขึ้นมา ปัญญาเกิดจากพลังงานของจิตอันนั้นน่ะ พลังงานของจิตที่มันมีกำลังๆ ถ้ามันเกิดปัญญา เห็นไหม ถ้ามันเกิดปัญญา แต่ส่วนใหญ่มันไม่เกิดน่ะสิ มันเกิดไม่เป็น

เวลาปัญญาๆ จำมา ถ้าปัญญาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กลัวจะผิดพุทธพจน์ กลัวจะผิดไปหมด อยู่ในกรอบ

กรอบกิเลส กิเลสมันสร้างกรอบให้ เพราะกิเลสมันพาเรียนมา แต่ถ้าเป็นจริงๆ มันต้องเป็นส่วนบุคคล เป็นเรื่องของสัจธรรมอันนั้น เรื่องของหัวใจดวงนั้น เพราะใจดวงนั้นมันมีความฝังใจอันนั้น มันมีกรรมอันนั้น มันต้องถอดถอนอันนั้นด้วยสติปัฏฐาน ๔ อันนั้น มันจะเป็นสัจจะเป็นความจริงอันนั้น ถ้าอันนั้นขึ้นมา ภาวนาอย่างนั้นมันจะรู้จากใจอันนั้น มันจะถอดจะถอนจากใจอันนั้น ใจอันนั้นคืออะไรล่ะ ใจอันนั้นคือใจสัตว์โลกไง ใจอันนั้นคือใจเราไง ใจของผู้ที่แสวงหาไง ใจของผู้ที่ทุกข์ที่ยากที่พยายามแสวงหา ที่พยายามจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อตนให้ได้ ถ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์นะ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

ถ้าตนยังทำไม่ได้ ตนยังทำไม่ได้ สอนไม่ได้ สอนอย่างไรก็สอนไม่ได้เพราะไม่รู้จริง แต่ถ้าตนนั้น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าตนได้ถอดได้ถอนแล้ว การถอดการถอนนั้นนั่นล่ะคือมรรค การถอดการถอนคือวิธีการ ถ้าการถอดการถอนนั้นมันถอดถอนในใจของเรานะ ถ้ามันถอดมันถอนอันนั้นแล้ว สิ่งที่มันถอดมันถอนแล้ว “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดในใจของเราอีกไม่ได้เลย” เวลาจะปราบจะปราม เรือนยอด ๓ หลัง ความโลภ ความโกรธ ความหลง เรือนยอดก็เหมือนอวิชชา เรือนยอด ๓ หลังเราได้หักมันแล้วๆ แล้วหักอย่างไร ทำอย่างไร ต้องทำเป็นจริงอันนั้นขึ้นมา นี่มาวัดใจ

ถ้ามาวัดมาวา เราทำบุญกุศลของเรา อันนี้เป็นทาน เป็นสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมประเพณี เราทำเพื่อหัวใจของเราไง ทำบุญทิ้งเหว ทำแล้วมีความสบายใจ ทำแล้วจบสิ้น มันเพิ่มพูนอำนาจวาสนาบารมี ถ้าเพิ่มพูนอำนาจวาสนาบารมีคือว่าหัวใจนี้มันทำได้

แต่มันไม่เพิ่มพูนอำนาจวาสนาบารมี ของกูๆ มันรั้งไว้ๆ มันตระหนี่ถี่เหนียว คนตระหนี่คือไม่มีปัญญา คนตระหนี่คือใช้ปัญญาไม่ได้ ใช้ปัญญาไม่เป็น เพราะมันยึดเข้ามาหมดเลย

แต่ถ้ามันมีระดับของทาน ระดับของศีล แล้วฝึกหัดใช้ปัญญาๆ ปัญญาต้องฝึกหัดใช้ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ศึกษามาๆ เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้น แล้วเวลาแจกแจงธรรมะก็กลัวมันผิด

เราตั้งเป็นประเด็นสิ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหัวข้อ แล้วใช้ปัญญาของเราพิจารณาให้มันเป็นสมบัติของเรา ให้มันแตกแขนงออกไป นี่วัดใจ ให้มันพิจารณาของมันให้เป็นสมบัติของเรา พอสมบัติของเรามันพิจารณาไปมันออกรสออกชาติ นี่ธรรมโอสถๆ มันมีรสมีชาติของมัน มันจะเป็นของเราขึ้นมาๆ ทั้งๆ ที่อาศัยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นแหละ

สาวกสาวกะเป็นผู้ได้ยินได้ฟัง ถ้าไม่ได้ยินไม่ได้ฟังมันไม่มีปัญญาหรอก มันไม่มีความสามารถหรอก มันไม่รู้หรอก แต่มันมีหลักเกณฑ์แล้วๆ หลักเกณฑ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาวกสาวกะเป็นผู้ได้ยินได้ฟังแล้วมาแจกมาแจง มาพิจารณาให้เป็นสมบัติของเราๆ นี่รื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ในใจดวงนี้ ให้สงสารใจดวงนี้ แล้วรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์ เอวัง